บทความเกี่ยวกับ present Tense
วันนี้นะค่ะ ขอนำเสนอเรื่อง Present Simple Tense เพราะ Present Simple Tense เป็นTense ที่ง่ายที่สุดของ Present tense นะค่ะ
^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^ไปดูกันเลย^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^
Present Simple Tense
Present Simple Tense คือ Tense ที่เราใช้พูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เป็นความจริง
หรือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือสิ่งที่เป็นความจริง
ตลอดกาลและเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ
หลักการใช้ Present Simple Tense ที่ผู้อ่านควรทราบ คือ
1. จะใช้กับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เป็นจริงเสมอ เช่น The sun
rises in the east.
2. เป็นเรื่องทั่ว ๆ ไปที่เป็นจริงเสมอหรืออาจเกิดขึ้นจริงในขณะที่พูดอยู่
เช่น My parents read the newspaper everyday.
3.เป็นเรื่องเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น Muslim do not
eat pork.
4.เป็นความสามารถเฉพาะบุคคล เช่น Backham plays football well.
5.เป็นประโยคอุทาน เช่น Here it is!
6.ใช้กับ adverb ที่แสดงเวลาในอนาคต หรือ
เหตุการณ์ หรือการกระทำที่กำหนดเวลาในอนาคตที่แน่นอน
ซึ่งกริยาที่ใช้ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับเวลา หรือ เหตุการณ์ เช่น
begin
end stop have
depart
arrive come go
open
close leave
start เช่น
English
course begins at 12.30 p.m. tomorrow.
7. เป็นการกระทำที่ทำจนเป็นนิสัยและเกิดขึ้นซ้ำซาก เช่น I
always get up at six o’clock
8.ใช้ในการประกาศหรือพาดหัวข่าว เช่น This museum opens 9 a.m.
and close 5 p.m.
9. ใน Present Simple นี้มักจะมีคำวิเศษณ์อยู่ในประโยค
เช่น
sometime
often
hardly
ever
never
usually
rarely
normally
generally
always
frequently occasionally
seldom
from time to
time
now and again เช่น
I always go to shopping on Sunday
negative adverb
|
|
always
100%
nearly
always
80%
usually
80%
generally
80%
often
80%
sometimes
50%
|
occasionally
40%
hardly
ever
20%
rarely
20%
scarcely
20%
seldom
20%
never
0%
|
10. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ในอนาคตและมักจะมีคำสันธาน
เช่น
when
as soon as
until
after
before
by the time
while
unless
if
as long as the
moment that
ในส่วนของ main clause (ประโยคหลัก) เราจะใช้ Present
Simple Tense
ในส่วนของ subordinate clause (ประโยครอง) เราจะใช้ Present
Simple Tense หรือ Present perfect Tense.
เช่น The
girl won’t do homework until the mother comes.
(main clause)
(subordinate clause)
As soon as the teacher has come, the
children will stop talking.
(subordinate
clause)
(main clause)
ในส่วนของคำกริยาที่ผู้อ่านสามารถใช้ได้กับ Tense คือ กรยาช่องที่ 1 ซึ่งเรามีหลักการเติม “s” หรือ “es”ของกริยาช่องที่ 1 อยู่ว่า การเติม “s” ท้ายคำกริยาจะให้ความหมายตรงข้ามกับการเติม “s” ท้ายคำนาม คือ ถู้อ่านเติม “s” ท้ายคำนามเอกพจน์จะทำให้คำนามนั้นกลายเป็น “คำนามพหูพจน์” แต่ถ้าผู้อ่านเติม “s” ท้ายคำกริยาช่องที่1 จะทำให้กริยานั้นกลายเป็น “กริยาเอกพจน์”
เมื่อผู้อ่านต้องการเปลี่ยนประโยค Present Simple
Tense ให้เป็นประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธ ผู้อ่านสามารถทำได้
ดังนี้
1. ประโยคคำถาม จะใช้ verb to “do” หรือ “does” นำประโยค เช่น
- Mike
plays football very well. ---
> Does Mike play football very well?
- They
walk to school everyday. --- > Do they
walk to school everyday?
2. ประโยคปฏิเสธ เราจะใช้ verb to “do
+ not” หรือ “does + not” นำหน้ากริยา
เช่น
- Mike
plays football very well --- > Mike
does not play football very well.
- We
wash our hair everyday --- > We do
not wash our hair everyday.
ต่อไปนี้คือคำกริยาอธิบายการใช้ “verb to do” คู่กับประธานที่ผู้อ่านหลาย ๆ
คนอาจจะสงสัยกัน
Verb to “do”
|
ประเภทของประธาน
|
does
|
- ประธานที่เป็นคำนามเอกพจน์
เช่น a boy, the dog
- ประธานที่เป็นสรรพนามเอกพจน์
คือ he, she, it
|
do
|
- ประธานที่เป็นคำนามพหูพจน์
เช่น the men, the children
- ประธานที่เป็นสรรพนาม
คือ I
- ประธานที่เป็นพหูพจน์
คือ you, we, they
|
มีสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ
ที่ผู้อ่านควรจำเกี่ยวกับการใช้ verb to
“do” ในประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธของ Present
Simple Tense คือ เมื่อมี “do” หรือ “does” แล้วกริยาแท้ของประโยค Present
Simple Tense จะต้องเป็นกริยาช่องที่ 1 ที่อยู่ในรูปพหูพจน์เสมอ เช่น
Mike plays football
very well. --- > Does Mike play football very well?
- plays เป็นกริยาช่องที่ 1 ในรูปเอกพจน์ เพราะมี “s” เนื่องจาก Mike เป็นประธานที่เป็นคำนามเอกพจน์
ดังนั้น กรอยาจะต้องเติม “s” หรือ “es”
- play ในประโยคคำถามเป็นกริยาช่องที่ 1 ในรูปพหูพจน์
เพราะไม่มี “s” และเนื่องจาก play เป็นกริยาแท้ของประโยค และมีคำว่า “does” ในประโยค
ดังนั้น play คือ กริยาช่องที่ 1 และเป็นรูปของพหูพจน์
ในส่วนของคำกริยาที่น้อง
ๆ สามารถใช้ได้กับ Present Tense คือ Verb to be (is, am, are) เมื่อต้องการเปลี่ยนประโยคบอกให้เป็นประโยคปฏิเสธเราจะเติม “not” หลัง Verb to be ในประโยคได้เลย
โดยที่เราไม่ต้องใช้verb to “do” มาเป็นกริยาช่วย เพราะ verb
to be สามารถเป็นได้ทั้งกริยาแท้และกริยาช่วย เช่น
- Jane
is pretty. --- > Jane
is not pretty.
(ประโยคบอกเล่า)
(ประโยคปฏิเสธที่มี verb
to be)
ส่วนของการตอบคำถามประโยคคำถามชนิดนี้
คุณผู้อ่านจะต้องตอบคำถามด้วยคำว่า “Yes” หรือ “No”
- คำตอบ Yes เราจะต้องตมด้วยประโยคบอกเล่า
เช่น
Do you walk to school?
--- > Yes, I walk to
school.
- คำตอบ No เราจะต้องตามด้วยประโยคปฏิเสธ
เช่น
Do they work everyday?
--- > No, they do not work
everyday.
Cr. http://englishindiary2013.blogspot.com/2013/06/unit-3-present-simple-tense.html.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น